แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย อย่างที่หลายๆคนทราบกับดีว่าแคลเซียมเป็นส่วนประกอบหลักของกระดูกโดยมีมากถึง 99% ของโครงกระดูกและฟัน แคลเซียมจึงมีบทบาทให้การช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกระดูกและฟัน และมีวิตามินดีเป็นตัวช่วยให้ร่างกายดูดซึมและนำแคลเซียมไปใช้ได้ดีขึ้น แต่รู้หรือไม่ว่า แคลเซียม และ วิตามิน D ก็สำคัญต่อระบบอื่นๆของร่างกายเช่นกัน วันนี้ Million Lab มี 8 ประโยชน์ของแคลเซียมและวิตามินดีจากงานวิจัยมาบอกทุกคน

แคลเซียม และ วิตามิน D มีประโยชน์ต่อ 8 ระบบในร่างกายของเราอย่างไรบ้าง?

  1. ระบบกระดูกและฟัน

แคลเซียมเป็นสารอาหารที่สำคัญในการสร้างกระดูก ฟัน เล็บและเส้นผม ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานของกระดูกและฟัน รวมทั้งซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ส่วนวิตามิน D เป็นสารที่ช่วยให้การดูดซึมแคลเซียมจากอาหารและช่วยในการปรับสมดุลของแคลเซียมในร่างกาย

  1. ระบบประสาท

แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นในการสังเคราะห์ อะซิทิลโคลีน (acetylcholine) ซึ่งจำเป็นต่อการส่งกระแสประสาทในระบบประสาท นอกจากนี้ยังมีการวิจัยพบว่าวิตามิน D และแคลเซียมจำเป็นต่อการสร้างและการทำงานของเอนไซม์ต่างๆในระบบประสาทอีกด้วย

  1. ระบบกล้ามเนื้อ

แคลเซียมมีบทบาทในการรักษาสมดุลของการทำงานของกล้ามเนื้อ ช่วยให้ระบบประสาทที่ควบคุมการยืดและหดตัวของกล้ามเนื้อทำงานอย่างปกติ นอกจากนี้การได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอช่วยในการลดอาการตึงกล้ามเนื้อและช่วยส่งเสริมให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  1. ระบบการทำงานของเซลล์

แคลเซียมเป็นสารที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของเซลล์ทั่วไป ซึ่งจะช่วยในกระบวนการเจริญเติบโตของเซลล์ ควบคุมการตอบสนองของเซลล์ และการทำงานของระบบเอนไซม์ต่างๆด้วย นอกจากนี้แคลเซียมและวิตามินดี ยังมีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างเซลล์ใหม่ และเสริมการทำงานของระบบเซลล์

  1. ระบบไหลเวียนโลหิต

แคลเซียมเป็นสารที่ช่วยในกระบวนการการยืดตัวและหดตัวของหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดสามารถส่งเลือดไปยังเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีความสำคัญต่อกลไกการแข็งตัวของเลือดให้ทำงานอย่างปกติอีกด้วย

  1. ระบบภูมิคุ้มกัน

วิตามิน D เป็นสารที่มีบทบาทในการสร้างและควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทนทานการติดเชื้อและภาวะเสี่ยงต่างๆ

  1. ระบบการเจริญเติบโต

แคลเซียมและวิตามิน D เป็นสารที่สำคัญในการสนับสนุนกระบวนการเจริญเติบโตของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น

  1. ระบบการย่อยอาหาร

แคลเซียมมีบทบาทในกระบวนการย่อยอาหาร ซึ่งจะช่วยในการส่งเสริมการทำงานของเอนไซม์ในกระบวนการย่อยอาหาร และช่วยในกระบวนการดูดซึมสารอาหาร

สำหรับปริมาณที่แนะนำให้ทานแคลเซียมและวิตามิน D ต่างกันตามกลุ่มอายุ อย่างเช่น กลุ่มวัยรุ่น หญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตรจะเป็นช่วงที่ต้องการแคลเซียมมากกว่าช่วงอื่นๆ โดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดปริมาณแคลเซียมและวิตามิน D ที่แนะนำให้ทานในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่คือ

  • แคลเซียม: 1000-1300 มิลลิกรัมต่อวัน (WHO, 2010).
  • วิตามิน D: 600-800 ยูนิตต่อวัน (WHO, 2010).

อ่านมาถึงตรงนี้ทุกคนคงทราบกันแล้วว่า แคลเซียมและวิตามินดีไม่ได้ประโยชน์ต่อกระดูกและฟันเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวเนื่องกับระบบอื่นๆของร่างกายด้วย การได้รับ แคลเซียม และ วิตามิน D อย่างเพียงพอจึงเป็นเรื่องที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ โดยอาจจะเริ่มจากการทานอาหารที่แคลเซียมสูง อย่างเช่น นม ธัญพืชต่างๆ และการทานอาหารมีวิตามินดีสูง อย่าง ปลา ตับ ไข่แดง ก็จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น รวมทั้งความเป็นกรดอ่อนๆของอาหารจะช่วยให้แคลเซียมละลายได้ง่ายขึ้น หรืออาจจะเลือกทานแคลเซียมในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สะดวกและได้รับแคลเซียมเพียงพอตามที่ต้องการ สำหรับผู้อ่านที่มีความสนใจที่จะผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนประกอบของแคลเซียมและวิตามินดี หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญ สามารถสอบถามได้ทาง Line: @MillionLab นะคะ สามารถปรึกษาได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมค่ะ

หากคุณสนใจผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากโรงงาน รับผลิตอาหารเสริม ที่ได้รับมาตรฐาน Codex GHPs และ HACCP จากบริษัท URS ประเทศอังกฤษ ได้รับรางวัลธุรกิจยอดเยี่ยมจาก ASEAN BUSINESS AWARD ประเทศสิงคโปร์ และคิดค้นสูตรโดยทีมเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์สายตรงกว่า 10 ปี

บริษัทของเรามีความมุ่งเน้นที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมให้มีคุณภาพ ปลอดภัย และให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจแก่ผู้บริโภค ด้วยประสบการณ์ในวงการอาหารเสริมกว่า 10 ปี ทั้งในส่วนของการผลิต จัดจำหน่าย และการตลาด MillionLab จึงพร้อมไปด้วยผู้เชี่ยวชาญหลากหลายแขนง ที่คอยให้คำปรึกษาลูกค้าได้เป็นอย่างดี เรามีสินค้าของลูกค้ากว่า 1,000 รายการที่ออกสู่ท้องตลาดอย่างต่อเนื่องในทุกเดือน อีกทั้งสินค้ายังได้รับผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค

สามารถคลิกที่ เว็บไซต์นี้  ได้เลยค่ะ

References

  1. Aranow, C. (2011). Vitamin D and the immune system. Journal of investigative medicine, 59(6), 881-886.
  2. Berridge, M. J., Lipp, P., & Bootman, M. D. (2003). The versatility and universality of calcium signalling. Nature Reviews Molecular Cell Biology, 1(1), 11-21.
  3. Cashman, K. D., Hill, T. R., & Lucey, A. J. (2008). Vitamin D in childhood and adolescence: insights from nutritional research. The Proceedings of the Nutrition Society, 67(2), 168-177.
  4. Dawson-Hughes, B. (2010). Calcium and muscle function. The Journal of nutrition, 140(2), 205S-210S.
  5. Fleet, J. C., Bruns, M. E., & Wood, R. J. (2000). Vitamin D and cancer: a review of molecular mechanisms. Biochemical Journal, 348(3), 769-784.